วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

ใบงานที่ 2 : ประวัติคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือในการคำนวณซึ่งมีวิวัฒนาการนานมาแล้ว เริ่มจากเครื่องมือในการคำนวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด" (Abacus) ที่สร้างขึ้นในประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2376 นักคณิตศาสต์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ล แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) สามารถคำนวณค่าของตรีโกณมิติ ฟังก์ชั่นต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ การทำงานของเครื่องนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วนคำนวณ และส่วนควบคุม ใช้ระบบพลังเครื่องยนต์ไอน้ำหมุนฟันเฟือง มีข้อมูลอยู่ในบัตรเจาะรู คำนวณได้โดยอัตโนมัติ และเก็บข้อมูลในหน่วยความจำ ก่อนจะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ
หลักการของแบบเบจนี้เองที่ได้นำมาพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เราจึงยกย่องให้แบบเบจเป็น บิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ได้มีผู้ประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมามากมายหลายขนาด ทำให้เป็นการเริ่มยุคของคอมพิวเตอร์อย่างแท้จริง   โดยสามารถจัดแบ่งคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น


  1. 1. ยุคที่หนึ่ง (First Generation Computer) พ.ศ. 2489-2501

เป็นการประดิษฐ์เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มิใช่เครื่องคำนวณ โดยเมาช์ลีและเอ็กเคอร์ต (Mauchly and Eckert) ได้นำแนวความคิดนั้นมาประดิษฐ์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากเครื่องหนึ่งเรียกว่า ENIAC (Electronic Numericial Integrator and Calculator) ซึ่งต่อมาได้ทำการปรับปรุงการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น   และได้ประดิษฐ์เครื่อง UNIVAC (Universal Automatic Computer) ขึ้นเพื่อใช้ในการสำรวจสำมะโนประชากรประจำปี
จึงนับได้ว่า UNIVAC เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลกที่ถูกใช้งานในเชิงธุรกิจ ซึ่งนับเป็นการเริ่มของเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคแรกอย่างแท้จริง เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอดสุญญากาศในการควบคุมการทำงานของเครื่อง ซึ่งทำงานได้อย่างรวดเร็ว แต่มีขนาดใหญ่มากและราคาแพง ยุคแรกของคอมพิวเตอร์สิ้นสุดเมื่อมีผู้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์มาใช้แทนหลอดสูญญากาศ
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
  •   ใช้อุปกรณ์ หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และเกิดความร้อนสูง
  •        ทำงานด้วยภาษาเครื่อง (Machine Language) เท่านั้น
  •        เริ่มมีการพัฒนาภาษาสัญลักษณ์ (Assembly / Symbolic Language) ขึ้นใช้งาน


2. ยุ
คที่สอง (Second Generation Computer) พ.ศ. 2502-2506
มีการนำทรานซิสเตอร์ มาใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์จึงทำให้เครื่องมีขนาดเล็กลง และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีความรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในยุคนี้ยังได้มีการคิดภาษาเพื่อใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เช่น ภาษาฟอร์แทน (FORTRAN) จึงทำให้ง่ายต่อการเขียนโปรแกรมสำหรับใช้กับเครื่อง
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
  •        ใช้อุปกรณ์ ทรานซิสเตอร์ (Transistor) ซึ่งสร้างจากสารกึ่งตัวนำ (Semi-Conductor) เป็นอุปกรณ์หลัก แทนหลอดสุญญากาศ เนื่องจากทรานซิสเตอร์เพียงตัวเดียว มีประสิทธิภาพในการทำงานเทียบเท่าหลอดสุญญากาศได้นับร้อยหลอด ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีขนาดเล็ก ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย ความร้อนต่ำ ทำงานเร็ว และได้รับความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
  • เก็บข้อมูลได้ โดยใช้ส่วนความจำวงแหวนแม่เหล็ก (Magnetic Core)
  • มีความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำสั่ง ประมาณหนึ่งในพันของวินาที (Millisecond : mS)
  •  สั่งงานได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจากทำงานด้วยภาษาสัญลักษณ์ (Assembly Language)
  • เริ่มพัฒนาภาษาระดับสูง (High Level Language) ขึ้นใช้งานในยุคนี้
    3.ยุคที่สาม (
    Third Generation Computer) พ.ศ. 2507-2512
คอมพิวเตอร์ในยุคนี้เริ่มต้นภายหลังจากการใช้ทรานซิสเตอร์ได้เพียง 5 ปี เนื่องจากได้มีการประดิษฐ์คิดค้นเกี่ยวกับวงจรรวม (Integrated-Circuit) หรือเรียกกันย่อๆ ว่า "ไอซี" (IC) ซึ่งไอซีนี้ทำให้ส่วนประกอบและวงจรต่างๆ สามารถวางลงได้บนแผ่นชิป (chip) เล็กๆ เพียงแผ่นเดียว จึงมีการนำเอาแผ่นชิปมาใช้แทนทรานซิสเตอร์ทำให้ประหยัดเนื้อที่ได้มาก
นอกจากนี้ยังเริ่มมีการใช้งานระบบจัดการฐานข้อมูล (Data Base Management Systems : DBMS) และมีการพัฒนาเครื่องคอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานร่วมกันได้หลายๆ งานในเวลาเดียวกัน และมีระบบที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับเครื่องได้หลายๆ คน พร้อมๆ กัน (Time Sharing)
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 3
  • ใช้อุปกรณ์ วงจรรวม (Integrated Circuit : IC) หรือ ไอซี และวงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) เป็นอุปกรณ์หลัก
  • ความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านของวินาที (Microsecond : mS) (สูงกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคที่ 1 ประมาณ 1,000 เท่า)
  • ทำงานได้ด้วยภาษาระดับสูงทั่วไป

    4.
    ยุคที่สี่ (Fourth Generation Computer) พ.ศ. 2513-2532
เป็นยุคที่นำสารกึ่งตัวนำมาสร้างเป็นวงจรรวมความจุสูงมาก (Very Large Scale Integrated : VLSI) ซึ่งสามารถย่อส่วนไอซีธรรมดาหลายๆ วงจรเข้ามาในวงจรเดียวกัน และมีการประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) ขึ้น ทำให้เครื่องมีขนาดเล็ก ราคาถูกลง และมีความสามารถในการทำงานสูงและรวดเร็วมาก จึงทำให้มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer) ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคนี้
ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 4
  • ใช้อุปกรณ์ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่ (Large Scale Integration : LSI) และ วงจรรวมสเกลขนาดใหญ่มาก (Very Large Scale Integration : VLSI) เป็นอุปกรณ์หลัก
  • มีความเร็วในการประมวลผลแต่ละคำสั่ง ประมาณหนึ่งในพันล้านวินาที (Nanosecond : nS) และพัฒนาต่อมาจนมีความเร็วในการประมวลผลแต่ละคำสั่ง ประมาณหนึ่งในล้านล้านของวินาที (Picosecond : pS)

    5.ยุคที่ห้า (
    Fifth Generation Computer) พ.ศ. 2533 จนถึงปัจจุบัน
ในยุคนี้ ได้มุ่งเน้นการพัฒนา ความสามารถในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ และ ความสะดวกสบายในการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ อย่างชัดเจน มีการพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็กขนาดเล็ก (Portable Computer) ขึ้นใช้งานในยุคนี้
โครงการพัฒนาอุปกรณ์ VLSI ให้ใช้งานง่าย และมีความสามารถสูงขึ้น รวมทั้งโครงการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ โดยหวังให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ สามารถวิเคราะห์ปัญหาด้วยเหตุผล
องค์ประกอบของระบบปัญญาประดิษฐ์ ประกอบด้วย 4 หัวข้อ ได้แก่
1.      ระบบหุ่นยนต์ หรือแขนกล (Robotics or Robotarm System)
คือหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ที่ควบคุมการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ มีจุดประสงค์เพื่อให้ทำงานแทนมนุษย์ในงานที่ต้องการความเร็ว หรือเสี่ยงอันตราย เช่น แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม หรือหุ่นยนต์กู้ระเบิด เป็นต้น
2.      ระบบประมวลภาษาพูด (Natural Language Processing System) 
คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถสังเคราะห์เสียงที่มีอยู่ในธรรมชาติ (Synthesize) เพื่อสื่อความหมายกับมนุษย์ เช่น เครื่องคิดเลขพูดได้ (Talking Calculator) หรือนาฬิกาปลุกพูดได้ (Talking Clock) เป็นต้น
3.      การรู้จำเสียงพูด (Speech Recognition System) 
คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์ และสามารถจดจำคำพูดของมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือเป็นการพัฒนาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้ด้วยภาษาพูด เช่น งานระบบรักษาความปลอดภัย งานพิมพ์เอกสารสำหรับผู้พิการ เป็นต้น
4.      ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) 
คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ รู้จักใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ปัญหา โดยใช้ความรู้ที่มี หรือจากประสบการณ์ในการแก้ปัญหาหนึ่ง ไปแก้ไขปัญหาอื่นอย่างมีเหตุผล ระบบนี้จำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูล (Database) ซึ่งมนุษย์ผู้มีความรู้ความสามารถเป็นผู้กำหนดองค์ความรู้ไว้ในฐานข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ได้จากฐานความรู้นั้น เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์วิเคราะห์โรค หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ทำนายโชคชะตา เป็นต้น

คอมพิวเตอร์ ในประเทศไทย
          ผู้ที่มีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการริเริ่ม  กระตุ้น ติดต่อดำเนิน การให้มีคอมพิวเตอร์ ในประเทศไทยได้แก่ 
ศาสตราจารย์ บัญฑิต   กัณตะบุตร ผู้ซึ่งเป็นทั้งหัวหน้า ภาควิชาสถิติและเลขาธิการสถิติแห่งชาติ    เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2506 มีการนำเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ามาในประเทศไทยเป็นเครื่องแรก  คือ  IBM 1620  ( ในขณะนั้นประมาณสองล้านบาทเศษ ) เข้ามาติดตั้งอยู่ ณ ภาควิชาสถิติ คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   เพื่อช่วยในการพัฒนาสถิติของประเทศเน้นในด้านการปฏิบัติงานสำมะโนและในด้านการค้นคว้า และวิจัยนานาประการ  หลายประเทศ เช่น มาเลเซีย ศรีลังกา และสิงคโปร์ก็สนใจส่งเจ้าหน้าที่มาดูการ ปฏิบัติงานของเครื่องอีฟด้วย เพราะประเทศของเขาเองยังไม่มี    ปัจจุบัน (พ.ศ. 2553) เครื่องนี้อยู่ที่ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพ
           ปี พ.ศ.2507 เดือนมีนาคม เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่สอง ได้แก่ IBM 1401
( มูลค่าประมาณ 8 ล้านบาท )  ติดตั้งที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ
           ปี พ.ศ.2507
มีการเริ่มนำคอมพิวเตอร์ เข้าไปใช้กับธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทยคือ บริษัทปูนซิเมนต์ไทยกับธนาคารกรุงเทพฯ

ปี พ.ศ.2517 ตลาดหลักทรัพย์นำมินิคอมพิวเตอร์เข้าไปช่วยงานการซื้อขายหุ้น

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2555

ใบงานที่ 1 : คำศัพท์ทางคอมพิวเตอร์

1. assembly language : ภาษาแอสเซมบลี เป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ เป็นภาษาระดับต่ำคล้ายๆกับภาษา Basic  และภาษา Cobol
2.  auxiliary storage : หน่วยเก็บช่วย หน่วยเก็บรอง  เป็นหน่วยความจำที่ช่วยในการรองรับหน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์หรือที่เรียกว่า “หน่วยความจำสำรอง” (Secondary storage)
3.  background processing : การประมวลผลส่วนหลัง เป็นการ execute โดยอัตโนมัติของโปรแกรมส่วนหลังระหว่างโปรแกรมคอมฯ กับระบบปฏิบัติการ เมื่อระบบไม่สามารถทำตามคำสั่งการประมวลผลส่วนหน้าได้
4.  backup : การสำรอง การสำรองเอาไว้ใช้สำรองโปรแกรมหรือสำรองไว้เพื่อกันโปรแกรมเสียหาย
5.  BASIC : ภาษาเบสิก เป็นภาษาระดับสูงใช้ในการเขียนโปรแกรม เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถประมวลผลได้ และการทำงานเป็นแบบแบ่งเวลา (Time Sharing)
6.  batch processing : การประมวลผลแบบกลุ่ม  การประมวลผลของตัวเลขหรือกลุ่มของตัวเลขจะมีการประมวลผลแบบกลุ่มและการประมวลผลเป็นแบบเรียงลำดับ การรันโปรแกรมของคอมพิวเตอร์จะรัน 1 โปรแกรมไม่เหมือนกับที่ต้องการรันโปรแกรมทีละ Operator ในโปรแกรม
7.  binary number system : ระบบเลขฐานสอง ในระบบเลขฐานสองจะมีอยู่ 2 digits คือ เลข 0 กับเลข 1 ซึ่งคอมพิวเตอร์จะให้แปลงคำสั่งเป็นเลข 0 และ 1 ในการประมวลผล และใช้เลข 0,1 เป็นเงื่อนไขหรือการกระทำ
8.  booting the system : การเริ่มทำงานของระบบ การเริ่มต้นทำงานของคอมพิวเตอร์ จะเริ่มจากการ Boot เครื่องและจะมีระบบปฏิบัติการหรือ DOS เข้ามาในหน่วยความจำหลัก
9.  buffer : ที่พักข้อมูล ที่ปรับอัตรา หรือกันชน ใช้พักข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ input/out กับ CPU เป็นพื้นที่สำหรับหน่วยความจำขนาดเล็ก ติดต่อ buffer สองตัว
10.  bug : จุดบกพร่อง การ error ในระบบหรือโปรแกรม การ error ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือในรายละเอียดบางชิ้นของฮาร์ดแวร์
11.   bus : บัส การสื่อสารระหว่าง provide หรือ มากกว่า 1 devices เช่น ระหว่าง CPU, หน่วยความจำ และอุปกรณ์รอบนอก โดยคอมพิวเตอร์จะต่อเข้ากับเครื่อง server
12.  cache memory : หน่วยความจำแบบแคช เป็นหน่วยความจำที่มีการทำงานสูง ความเร็วสูง เป็นการทำงานของหน่วยความจำเพื่อประมวลผลข้อมูลหรือโครงสร้าง
13.   CAD/CAM : การออกแบบและผลิตโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย โดยปกติทั่วไปจะนำคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการออกแบบและกระบวนการผลิตของธุรกิจต่างๆ
14.   cylinder : ทรงกระบอก แทร็คบนจานแม่เหล็กซึ่งเกิดจากจานแม่เหล็กแต่ละแผ่นเรียงกันเป็นทรงกระบอก และแทร็คที่เรียงตรงกันเรียกว่า “cylinder
15.  cathaode ray tube : หลอดภาพ เป็นหลอดอิเล็กทรอนิกส์ที่จะส่งข่าวสารไปแสดงผลลัพธ์ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงผลลัพธ์ด้านข้อมูลบนหลอดทีวีและหน้าจอ
16.  chip : ชิป สร้างมาจากซิลิโคนประกอบด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และประกอบเป็น integrated
17.  compiler : ตัวแปลชุดคำสั่งหรือชุดคำสั่งแปลชุดคำสั่ง คำสั่งในคอมพิวเตอร์เป็นแบบภาษาเครื่อง ซึ่งโดยปกติผู้เขียนโปรแกรมจะเขียนด้วยภาษาระดับสูงที่คอมพิวเตอร์ไม่รู้จัก ตัวแปลภาษาจะทำการแทนคำสั่งภาษาระดับสูงนั้นด้วยภาษาเครื่องไม่ว่าจะเป็นชุดคำสั่งและคำสั่งย่อย นอกจากนี้ยังแปลงระดับการทำงานหรือปัญหาของภาษาเป็นภาษาเครื่องด้วย
18.  debug : แก้จุดบกพร่อง เป็นการตรวจสอบที่จุดบกพร่องและแก้ไขข้อผิดพลาดของโปรแกรมและหรือคำสั่งย่อยในชุดคำสั่ง
19.  decision support system : ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ เป็นการรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจไว้เป็นสำเนาเพื่อการวางแผนและการตัดสินใจ
20. deagnosties : การวินิจฉัย เป็นการแสดงข้อความผิดพลาดด้วยคอมพิวเตอรืที่เกิดจากปัญหาจากระบบและคำสั่งของโปรแกรม
21.  difference engine : เครื่องคำนวณทางตรรกะ เป็นอุปกรณ์ประมวลผลทางตรรกศาสตร์ที่จะไม่มีวันจบ สร้างโดย Charles Babbuge
22. direct-access : การเข้าถึงโดยตรง เป็นการเข้าถึงข้อมูลในเวลาที่ต้องการโดยดึงข้อมูลมาเฉพาะที่ตั้งที่ข้อมูลอยู่ เป็นการอ่านและเขียนข้อมูลโดยตรงเช่นเดียวกับการค้นหาข้อมูลโดยตรง
23.  distributed data processing : การประมวลผลข้อมูลแบบกระจาย เป็นการบรรยายทั่วไปเกี่ยวกับการประมวลผลแบบตรรกะ เกี่ยวข้องกับข่าวสารคำสั่งตลอดจนการทำงานแบบรวมทั้งทางกายภาพ ประมวลผลและอุปกรณ์การสื่อสารต่างๆ
24.  documnutation : การจัดทำเอกสาร เป็นเอกสารระหว่างการวิเคราะห์และคำสั่งย่อยของโปรแกรมและข้อมูลของโปรแกรมและระบบเก็บตัวแปรและมีไว้เพื่อปรับปรุงโปรแกรามในวันต่อไป
25. editor : บรรณาธิกรณ์หรือบรรณาธิการ เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ทบทวนและใส่ตัวอักษาและคำสั่งอื่นของโปรแกรม
26. electronic apreadsheet program : โปรแกรมกระดาษทำการอิเล็กทรอนิกส์ เป็นโปรแกรมที่ช่วยให้ทำงานได้รวดเร็ว, คำนวณและวิเคราะห์ข้อมูล มีการทำงานแบบแถวและคอลัมน์
27. EPROM : หน่วยความจำโปรแกรมลบได้ ลบและอ่านหน่วยความจำได้เพียงอย่างเดียว โดยสามารถเขียนโปรแกรมได้ในเงื่อนไขอย่างจำกัดเพียงครั้งเดียว
28. executive routine : ชุดคำสั่งประจำกระทำการ เป็นโปรแกรมที่มีความเชี่ยวชาญในระบบควบคุใการทำงานและแปลโปรแกรมอื่นมักจะอ้างอิงถึงการแปลคำสั่งแสดงผลลัพธ์ หรือหัวหน้างาน
29. hard disk : จานบันทึกแบบแข็ง วัตถุที่เป็นโลหะ จาน ของแข็ง ซึ่งจะครอบคลุมด้วยแม่เหล็ก จะเป็นแผ่นกลมใช้ห้อยในเปรียบเทียบสิ่งที่ต้องการแต่ละชนิด
30. hierarchical data structure : โครงสร้างข้อมูลเชิงลำดับขั้น เป็นส่วนตรรกวิทยาซึ่งจะใกล้เคียงกับข้อมูลที่เป็นรากฐานของโครงสร้างที่มีส่วนประกอบหรือเป็นพ่อ แม่มีลูกแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ทีละคน หรือมีมากกว่าส่วนอื่น จะแยกออกเป็นแขนงของเจ้าของในส่วนประกอบเพียงอันหนึ่งอันเดียวของพ่อแม่
31.   high-level language : ภาษาระดับสูง การเขียนภาษาของโปรแกรมทางทวีปจะดูถึงปัญหา ความไม่เข้าใจ และการแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติงานของผู้ใช้ คำสั่งในการให้คอมพิวเตอร์ใช้งานได้สะดวกในการเขียนจดหมายแสดงงาน หรืองานต้นฉบับของอังกฤษ ค่อนข้างที่จะใช้การประมวลผลของคอมพิวเตอร์ให้เข้าใจให้ทราบ
32.  integrated software package : ชุดคำสั่งสำเร็จเบ็ดเสร็จ เป็นซอร์ฟแวร์ที่มีผลคำสั่งประกอบกันหลายๆ ครั้ง ใช้ประโยชน์ในระบบ e.g. การประมวลผลในเวิร์ด เป็นการขยายหน้ากระดาษสร้างเส้นจนกระทั่งเป็นอันเดียวกัน บรรจุรวมกันสามารถมีส่วนร่วมของข้อมูลและดำเนินการดูในระหว่างทำหน้าที่ในระบบ
33.  interactive system : ระบบเชิงโต้ตอบ เป็นคำสั่งในการยอมให้มีการติดต่อและโต้ตอบกันในระหว่างระบบของผู้ใช้งานและทำการปฏิบัตงานของ CPU ในโปรแกรม
34.  interface : ตัวเชื่อมประสาน ส่วนประกอบของเขตข้อมูล e.g. ในระบบทั้ง 2 หรือกลไกในการเชื่อมประสาน
35.  facsimile system : ระบบโทรภาพ, โทรสาร เป็นระบบที่ผู้ใช้สื่อสารทางรูปภาพ ต้นฉบับและแผนที่และอื่นๆ ระหว่างทางภูมิศาสตร์ ตามส่วนแยกหัวข้อ รูปภาพที่สแกนเป็นสื่อของหัวข้อและภาพจำลองความคิดของเรื่อง
36.  fiber-optic cable : สายเส้นใยนำแสง ข้อมูลที่เป็นสื่อในการนำสายใยมาดูและสายแก้ว หรือวัตถุหลอมได้ที่สามารถเป็นสื่อจำนวนมากมายในขณะที่มีความเร็วในการส่องสว่างของข่าวสารข้อความที่ออกมา
37.  field : เขตข้อมูล กลุ่มตัวอักษรที่เกี่ยวกับการปฏิบัติในยูนิต e.g. กลุ่มของผู้ใช้การ์ดข้อมูลแทนอัตราค่าจ้างเป็นชั่วโมง รวมทั้งการบันทึกรายการหัวเรื่องต่างๆ
38.  flowchart : ผังงาน แผนผังสัญลักษณ์ของผู้ใช้และการแสดงเส้นที่ติดต่อซึ่งกันและกัน
39.  front-end processor : ตัวประมวลผลส่วนหน้า ซีพียูของโปรแกรมจะทำหน้าที่เป็นตัวประมวลผลระหว่างส่วนหน้าเป็นส่วนใหญ่และมีกลไกความสามารถหลายชนิดซึ่งจะอยู่รอบนอกของโปรแกรม
40. full duplex transmission : การสื่อสารสองทางเต็มอัตรา ข้อมูลบนทางการติดต่อจะถูกส่งไปพร้อมกัน เวลาที่ซึ่งข้อมูลสามารถสื่อสารกันมันจะไหลในคำสั่งทั้งสองในเวลาเดียวกัน
41.   maintenance programming : รักษาโปรแกรม ข้อปฏิบัติในการักษาแก้ไขสภาพของโปรแกรมให้ถูกต้องและคงอยู่สภาพดังเดิม
42.  ISAM : วิธีเข้าถึงลำดับดรรชนี เป็นวิธีที่จะเข้าถึงลำดับดรรชนีโดยตรงโดยผานทางการคีย์ข้อมูลหรือตัวอักขระ
43.  LST : วงจรรวมความจุสูง เป็นวงจรไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ประกอบด้วยชิปเดี่ยวเล็กๆ ทำจากซิลิคอนหรือส่วนประกอบอื่นๆประกอบเข้าเป็นชิ้นเดียวกัน
44.  Machine language : ภาษาเครื่อง เป็นภาษาที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรงอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์
45.  PROM : หน่วยความจำโปรแกรมลบไม่ได้  เป็นหน่วยความจำที่อ่านได้อย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งผู้ผลิตจะทำการบันทึกโปรแกรมเข้าไป
46.  nonvolatile storage : หน่วยความจำไม่ลบเลือน เป็นหน่วยความจำที่เก็บข้อมูลในเครื่องไม่หายไปไหน เป็นอุปกรณ์หน่วยความจำที่ไม่ล่าช้าในการเก็บข้อมูล
47.  String : อักขระ คือตัวเลข ตัวอักษร การรวมกันของตัวอักษรจะเป็นการแสดงถึงข้อมูลชนิดหนึ่ง
48.  Pseudocode : รหัสเทียมหรือรหัสจำลอง เป็นเครื่องมือใช้ในการวิเคราะห์โปรแกรม เป็นการทดสอบและย่อจากโครงสร้างจริงของคอมพิวเตอร์ มีการเขียนมาในลักษณะธรรมดา
49.  VLSI : วงจรรวมความจุสูง เป็นอุปกรณ์ที่มีความเร็ว 100,000/วินาที เป็นอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ที่รวมใน chip
50. Ada เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาหนึ่งที่เรียกว่า procedural pro gramming language ซึ่งพัฒนาขึ้นมาโดยกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ เมื่อปี พ.ศ. 2513 ชื่อของโปรแกรมตั้งตามชื่อของผู้บุกเบิกเรื่องคอมพิวเตอร์ คือ ออกกุสตา เอดา ไบรอน เคาน์เตสแห่งเลิฟเลส (Augusta Ada Byron, Countess of Lovelace)